วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สงคราม


สงคราม คือ ความขัดแย้งเป็นวงกว้าง และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรง สงครามนั้นเกิดขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้งและไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีสันติ สุดท้ายจึงลงเอยด้วยการทำสงครามหรือการใช้กำลัง เพื่อลิดรอนหรือกำจัดบทบาททางการเมืองของรัฐอื่น สงครามนั้นเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สงครามนั้นมีตั้งแต่ระดับ รัฐ ชาติและจักรวรรดิ
ทหารผู้ทำการรบและกลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิบัติการทางบกนั้นถูกเรียกว่า กองทัพบก การปฏิบัติการทางทะเลเรียกว่า กองทัพเรือและการปฏิบัติการทางอากาศเรียกว่า กองทัพอากาศ สงครามนั้นอาจจะดำเนินไปในหลายยุทธบริเวณในเวลาเดียวกันก็ได้ ซึ่งในขอบเขตดังกล่าวนั้นก็อาจประกอบด้วยหลาย ๆ การทัพ ติดต่อกัน การรณรงค์ทางการทหารนั้นมิใช่เพียงแต่การรบ แต่ว่าเป็นการต่อสู้ทั้งทางด้านข่าวกรอง การเคลื่อนทัพ การสะสมเสบียง การโฆษณาชวนเชื่อ และอีกหลายปัจจัยเข้ามาร่วมด้วย ความขัดแย้งที่เกิดต่อเนื่องกันนั้นเดิมมักจะเรียกว่า การรบ แต่ว่าการใช้คำดังกล่าวก็ไม่ได้รวมไปถึงการใช้เครื่องบิน จรวด ขีปนาวุธและการทิ้งระเบิดเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากกองทัพบกและกองทัพเรือเสมอไป
มนุษย์นั้นเคยคิดว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวซึ่งก่อสงคราม ทว่าภายหลังการสังเกตการชีวิตของสัตว์โลกหลายชนิดก็ทำให้เราทราบว่าสงครามนั้นยังเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย เช่น การต่อสู้ระหว่างอาณานิคมของมด และการต่อสู้ระหว่างเผ่าของลิงชิมแปนซี รวมไปถึงสัตว์อีกหลายชนิดที่ไม่ได้มีการบันทึไว้[1][2][3]
องค์การสหประชาชาติได้เรียกสงครามว่าเป็น "ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มติดอาวุธ" "การรุกรานรัฐ" และ "อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ"

เนื้อหา

 [ซ่อน]

[แก้]ประวัติศาสตร์การทำสงคราม

ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์การทหาร
รูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่สอง ขณะรบในสงครามคาเดช
ก่อนหน้าที่จะมีความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ สงครามประกอบไปด้วยการจู่โจมอย่างรวดเร็วขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น พบว่าชาวนูเบียประมาณ 12,000 ปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งเสียชีวิตเพราะความรุนแรง จนกระทั่งเมื่อถึงยุคการปกครองแบบรัฐเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว กิจการทหารได้แพร่ขยายไปทั่วโลก การคิดค้นดินปืนและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำไปสู่การรบสมัยใหม่ในที่สุด
ในหนังสือเรื่อง Why Nations Go to War โดย จอห์น จี. สโทสซิงเกอร์ ได้กล่าวว่า ฝ่ายคู่สงครามทั้งสองฝ่ายจะกล่าวอ้างว่าตนเป็นฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อคุณธรรม เขายังกล่าวอีกว่าสาเหตุเพื่อจะจุดชนวนสงครามขึ้นอยู่กับการประเมินในแง่ดีที่คาดว่าจะเป็นผลที่ได้รับจากความเป็นปรปักษ์นั้น (อันได้แก่มูลค่าและความสูญเสีย)

[แก้]ปัจจัยที่นำไปสู่สงคราม

สงครามนั้นเกิดขึ้นหลังจากการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่ว่าสงครามโดยทั่วไปนั้นไม่จำเป็นต้องกระทำก็ได้ ทฤษฎีทั่วไปว่าด้วยการทำสงครามนั้นมิได้อธิบายถึงการทำสงครามแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น แต่ว่ายังกล่าวถึงภาวะสันติภาพด้วย มันจะต้องอธิบายไม่เพียงเฉพาะว่าสงครามนั้นเกิดขึ้นในหลายชั่วอายุคนและเกิดขึ้นในเกือบทุกพื้นที่บนโลก และนอกจากนั้น ยังต้องกล่าวถึงตัวอย่างของสันติภาพที่เกืดขึ้นภายหลังสงครามด้วย เช่น สันติภาพโรมัน และสันติภาพของทวีปยุโรปภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เจตนาที่ก่อให้เกิดสงครามนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสงครามมากกว่างานของสงคราม สำหรับรัฐที่ต้องการทำสงครามนั้นต้องมีการสนับสนุนผู้นำ กำลังทหารและประชากรของรัฐ ยกตัวอย่างเช่น ในสงครามพิวนิคครั้งที่สาม[4] ผู้นำของโรมันนั้นต้องการทำสงครามกับคาเธจ ด้วยจุดประสงค์ที่จะไม่ให้คาเธจฟื้นตัวจากความเสียหายเดิม ขณะที่ทหารโรมันแต่ละนายนั้นอาจมีความต้องการที่จะยุติการฝึกโดยการเสียสละเด็ก หลังจากที่คนจำนวนมากได้เข้ามาพัวพันกับสงคราม สงครามนั้นก็จะมีชีวิตเป็นของมันเอง จากหลากหลายสาเหตุที่มารวมกัน

[แก้]เป้าหมายและผลประโยชน์ของสงคราม

สงครามไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายและผลประโยชน์ที่ได้รับจากสงครามสามารถเรียงเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้
  1. เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของชาติจากการรุกรานของต่างชาติ
  2. เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ด้วยการยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประกาศอิสรภาพ
  3. เพื่อลงโทษแนวคิดที่เห็นว่าผิดหรือเห็นว่าไม่เหมาะสม
แต่สงครามทุกครั้งก็ไม่อาจบรรยายได้ตามลักษณะดังกล่าว ตัวอย่างเช่น สงครามเย็น ซึ่งทำให้ประชาชนหลายล้านคนเสียชีวิต

[แก้]ทฤษฎีจิตวิทยา

นักจิตวิทยานั้นได้โต้เถียงว่ามวลมนุษยชาตินั้นชื่นชอบความรุนแรงโดยสันดาน ขณะที่ตัวเองจะระงับความรุนแรงลงในสังคมปกติ ซึ่งบางครั้งก็จำเป็นต้องระบายออกด้วยการทำสงคราม ซึ่งประกอบกับความรู้สึกอื่น อย่างเช่น ความไม่พอใจ ซึ่งมนุษย์ได้มี อคติ และ ความเกลียดชัง กับ มนุษยชาติกลุ่มอื่น รัฐ ลัทธิ และ แนวคิดอื่นๆ ซึ่งแตกต่างไปจากตน ขณะที่ทฤษฎีเหล่านี้อาจมีการอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้เกิดสงคราม แต่ว่ามันก็มิได้ระบุว่าสงครามเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร และมิได้อธิบายถึงความมีอยู่ของวัฒนธรรมมนุษยชาติหากปราศจาสงคราม ถ้าหากว่าเนื้อหาของทฤษฎีจิตวิทยาเกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลังนั้นก็จะขัดกับทฤษฎีที่กล่าวไว้ก่อนแล้ว นักวิชาการทหารผู้ยิ่งใหญ่จึงมีแนวคิดว่า "สันติภาพนั้นแท้จริงแล้วไม่มีอยู่จริง" ช่วงเวลาซึ่งคนทั่วไปส่วนใหญ่มองว่าเป็นช่วงเวลาแห่งสันติภาพนั้นที่จริงก็คือการเตรียมตัวทำสงครามในภายหลังหรือการเข้าระงับสงครามของชาติมหาอำนาจ เช่น สันติภาพอังกฤษ
ถ้าหากสงครามนั้นเป็นสันดานของมนุษย์โดยธรรมชาติ ดังที่ทฤษฎีจิตวิทยาจำนวนมากได้กล่าวไว้ เช่นนั้นแล้วเราก็มีความหวังเพียงน้อยนิดที่จะพยายามหลีกหนีสงคราม นักจิตวิทยาได้โต้เถียงว่าขณะที่อารมณ์ของมนุษย์ได้ทำให้เกิดสงคราม แต่มันก็เกิดขึ้นเฉพาะเมื่อประชาชนในชาติไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจได้อย่างสมดุล แนวคิดนี้ได้อ้างเหตุผลว่าผู้นำประเทศซึ่งแสวงหาสงคราม อย่างเช่น จักรพรรดินโปเลียนที่ 1อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และโจเซฟ สตาลินนั้นมีจิตใจที่ผิดปกติวิปลาส แต่ล้มเหลวที่จะพยายามหาเหตุผลมาอธิบายเหตุผลที่คนจิตปกติและเป็นอิสระหลายพันคนที่ทำสงครามตามคำสั่งหรือพระบรมราชโองการ
สาขาที่แตกต่างกันของทฤษฎีจิตวิทยาเรื่องการทำสงคราม นั้นคือเหตุผลที่ตั้งอยู่บน จิตวิทยาวิวัฒน์ แนวคิดนี้มีความเห็นว่าสงครามนั้นคือนิสัยของสัตว์ที่เพิ่มขึ้นมา อย่างเช่น การยึดครองดินแดนและ การแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ขณะที่สงครามนั้นมีสาเหตุโดยธรรมชาติ การพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์ได้เร่งนิสัยการชอบทำลายของมนุษย์ขึ้นไปจนถึงขั้นปราศจากเหตุผลและสร้างความเสียหายต่อสายพันธุ์มนุษย์ มนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณคล้ายกับลิงชิมแปนซี แต่ว่ามีความรุนแรงกว่ามาก ผู้สนับสนุนคนแรกของทฤษฎีนี้คือ คอนราด ลอเรนซ์ทฤษฎีเหล่านี้ได้รับคำวิจารณ์จากผู้รู้อย่างเช่น จอห์น จี. เคนเนดี้ ซึ่งได้กล่าวว่าสงครามซึ่งมีแบบแผนและไม่มีวันสิ้นสุดของมนุษย์นั้นเป็นมากกว่าเพียงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนเหมือนกับสัตว์ทั่วไป

[แก้]ทฤษฎีสังคมวิทยา

ภาควิชาสังคมวิทยานั้นได้เป็นห่วงเกี่ยวกับจุดกำเนิดของสงครามมานานแล้ว และทฤษฎีจำนวนมากเป็นหลายพันได้ถูกพัฒนาขึ้น ซึ่งทฤษฎีจำนวนมากเหล่านั้นก็มักจะขัดแย้งกันเอง วิชาสังคมวิทยานั้นได้แบ่งแยกออกเป็นหลายแนวคิดและการอบรม หนึ่ง Primat der Innenpolitik (ความเป็นเอกด้านการปกครองบ้าน) ซึ่งการอบรมนั้นตั้งอยู่บนผลงานของ Eckart Kehr และ Hans-Ulrich Wehler ได้มองสงครามว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขการปกครองภายใน แต่ว่ามีเป้าหมายที่ก้าวร้าวรุนแรงและเป็นความตั้งใจแน่วแน่ของความจริงจังจากนานาชาติ ดังนี้ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จึงมิใช่ผลของความขัดแย้งของนานาชาติ สนธิสัญญาลับหรือสมดุลแห่งอำนาจ แต่ว่าเป็นผลจากเศรษฐกิจ สังคมและสถานการณ์ทางการเมืองภายในรัฐที่มีส่วนพัวพันในสงคราม
แนวคิดแรกนั้นตรงกันข้ามกับแนวคิดที่สองซึ่งเป็นแนวคิดดั้งเดิม Primat der Außenpolitik (ความเป็นเอกด้านการเมืองระหว่างประเทศ) เริ่มจาก Carl von Clausewitz และLeopold von Ranke ซึ่งได้แย้งว่าการตัดสินใจของรัฐบาลและสถานการณ์ของการเมืองอิงภูมิศาสตร์ต่างหากที่ได้นำไปสู่สงคราม

[แก้]ทฤษฎีประชากรศึกษา

จิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับสงครามของแกรี่ มัลเชอร์ ปี 1896

[แก้]ทฤษฎีจิตวิทยาวิวัฒน์

สงครามนั้นนั้นถูกมองว่าเป็นผลจากลักษณะของทฤษฎีจิตวิทยาวิวิฒน์ซึ่งเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการถูกโจมตีหรือความเข้าใจของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับอนาคตภายภาคหน้า ทฤษฎีดังกล่าวนั้นได้ให้เหตุผลสำหรับไออาร์เอ

[แก้]ทฤษฎีเหตุผล

[แก้]ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์

ส่วนสถาบันการศึกษาอีกแห่งหนึ่งได้กล่าวแย้งว่า จุดเริ่มต้นของสงครามนั้นเกิดจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจในการแข่งขันระหว่างประเทศ ถ้าหากมองในแง่ดังกล่าวแล้ว สงครามจะเกิดขึ้นจากการแสวงหาตลาดแห่งใหม่ เพื่อทรัพยากรธรรมชาติและความมั่งคั่ง แม้ว่าทฤษฎีดังกล่าวสามารถอธิบายกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้หลายครั้ง แต่ว่าทฤษฎีดังกล่าวเริ่มมีความเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากคุณธรรมเงินทุนและระดับการเฉลี่ยเงินทุนทั่วโลก ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่าความแตกต่างระหว่างเงินทุนนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม แนวคิดดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากแนวคิดการเมืองขวาจัด อย่างเช่น ลัทธิฟาสซิสต์ โดยการรักษาสิทธิ์ในการครอบครองทรัพยากรธรรมชาติให้แก่รัฐที่เข้มแข็งกว่า เนื่องจากรัฐที่อ่อนแอไม่สามารถดูแลรักษาแหล่งทรัพยากรดังกล่าวได้ นอกจากนี้ การเมืองสายกลาง นายทุน ผู้นำโลก รวมไปถึงประธานาธิบดีและผู้นำทางการทหารของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวด้วยเช่นกัน

[แก้]ทฤษฎีลัทธิมาร์กซิสม์

ทฤษฎีมาร์กซิสต์ ได้กล่าวว่า สงครามทุกครั้งเกิดขึ้นจากการแบ่งแยกทางชนชั้น ซึ่งเห็นว่ามันเป็นความพยายามที่จะขยายอำนาจตามลัทธิจักรวรรดินิยม ของชนชั้นปกครอง และแยกเอาชนชั้นใต้ปกครองให้ฆ่าฟันกันเองจากแนวคิดชาตินิยมหรือศาสนาจอมปลอมที่ประดิษฐ์ขึ้น และสงครามจะเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ จากการค้าตลาดเสรีและระบบชนชั้น จนกว่าการปฏิวัติโลกของลัทธิคอมมิวนิสต์ประสบผลสำเร็จ

[แก้]ทฤษฎีการเมือง

[แก้]สงครามเรียงตามประเภทและกลยุทธ์สงคราม

[แก้]คุณธรรมยามสงคราม

[แก้]ปัจจัยที่นำไปสู่การยุติสงคราม

[แก้]รายชื่อของสงครามเรียงตามผู้เสียชีวิต

[แก้]รายชื่อสงครามที่สำคัญในประวัติศาสตร์

[แก้]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น